เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมติด้วยเสียง 5 ต่อ 2 ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 1.75% ต่อปี ซึ่งถือเป็นการปรับลดครั้งที่สองในปี 2568 หลังจากการปรับลดครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา การตัดสินใจนี้สะท้อนความกังวลของคณะกรรมการต่อแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวกว่าที่คาดการณ์ไว้
ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ย
1. ภาวะเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว
กนง. ระบุว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม โดยได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทยก็เผชิญกับความท้าทายจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนที่ยังไม่ฟื้นตัวกลับมาเท่าระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
2. ความเสี่ยงจากนโยบายการค้าโลก
คณะกรรมการได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากนโยบายการกีดกันทางการค้าที่มีแนวโน้มจะส่งผลรุนแรงขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2568 เป็นต้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยและประเทศคู่ค้าที่สำคัญ
3. อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มลดต่ำกว่ากรอบเป้าหมายที่ 1-3% อันเนื่องมาจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ทรงตัวในระดับต่ำ ประกอบกับมาตรการต่างๆ ของภาครัฐที่ช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพและลดต้นทุนให้กับภาคธุรกิจ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังทรงตัว และการคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะกลางยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมาย
การคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยภายใต้สถานการณ์ต่างๆ
กนง. ได้นำเสนอการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยภายใต้สถานการณ์ที่แตกต่างกันเกี่ยวกับความรุนแรงของสงครามการค้า:
ฉากทัศน์ที่ 1: สงครามการค้ารุนแรงไม่มาก
- อัตราการเติบโตของ GDP ปี 2568: 2.0%
- อัตราการเติบโตของ GDP ปี 2569: 1.8%
ฉากทัศน์ที่ 2: สงครามการค้ารุนแรง
- อัตราการเติบโตของ GDP ปี 2568: 1.3%
- อัตราการเติบโตของ GDP ปี 2569: 1.0%
ตัวเลขการคาดการณ์เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยต่อความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและนโยบายการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน
ผลกระทบต่อค่าเงินบาท
หลังจากการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เงินบาทยังคงค่อนข้างทรงตัว โดยเคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 33.33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ กนง. ได้ระบุว่าความผันผวนในตลาดการเงินโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเนื่องจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า อย่างไรก็ตาม กลไกการเคลื่อนไหวของตลาดการเงินไทยยังคงดำเนินไปอย่างปกติ โดยไม่มีสัญญาณของการเคลื่อนไหวผิดปกติหรือการเก็งกำไรที่รุนแรง
คาดการณ์ทิศทางนโยบายการเงินในอนาคต
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ได้ปรับมุมมองและวิเคราะห์ว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ กนง. อาจพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมอีกในการประชุมครั้งถัดไปซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 25 มิถุนายน 2568 ทั้งนี้เนื่องจาก:
- ท่าทีของ กนง. ที่แสดงความกังวลอย่างชัดเจน: ในการแถลงผลการประชุมครั้งล่าสุด กนง. ได้แสดงความกังวลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างชัดเจน โดยเฉพาะผลกระทบจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลกที่อาจส่งผลต่อภาคการส่งออกซึ่งเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทย
- อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ: อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่มีแนวโน้มต่ำกว่ากรอบเป้าหมายเปิดโอกาสให้ กนง. มีพื้นที่ในการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพิ่มเติมได้
- แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังไม่ชัดเจน: การฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชนและการท่องเที่ยวที่ยังไม่เข้มแข็งเพียงพอ อาจทำให้ กนง. จำเป็นต้องใช้เครื่องมือนโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ผลกระทบต่อภาคธุรกิจและครัวเรือน
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจและครัวเรือนในหลายมิติ:
ผลต่อภาคธุรกิจ
- ช่วยลดต้นทุนทางการเงินให้กับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่มีภาระหนี้สินสูง
- เพิ่มความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อการลงทุนและขยายกิจการ
- อาจกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในโครงการใหม่ๆ มากขึ้น แม้ว่าในภาวะที่ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจยังอยู่ในระดับต่ำ ผลของการลดดอกเบี้ยอาจไม่ชัดเจนในระยะสั้น
ผลต่อภาคครัวเรือน
- ลดภาระการผ่อนชำระหนี้สินสำหรับผู้กู้ที่มีหนี้แบบอัตราดอกเบี้ยลอยตัว เช่น สินเชื่อบ้าน สินเชื่อส่วนบุคคล
- เพิ่มกำลังซื้อและอาจกระตุ้นการบริโภคในระบบเศรษฐกิจ
- อาจส่งผลให้ผลตอบแทนจากการออมและการลงทุนในตราสารหนี้ลดลง ซึ่งอาจกระทบต่อรายได้ของผู้ที่พึ่งพารายได้จากดอกเบี้ย เช่น ผู้เกษียณอายุ
ความท้าทายที่เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญในอนาคต
แม้ว่านโยบายการเงินแบบผ่อนคลายจะช่วยบรรเทาแรงกดดันต่อเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการในระยะกลางถึงระยะยาว:
- การเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่การผลิตโลก: ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจอาจนำไปสู่การปรับเปลี่ยนโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลก ซึ่งไทยจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรักษาบทบาทในห่วงโซ่มูลค่าโลก
- การพึ่งพาการท่องเที่ยวที่มากเกินไป: วิกฤตการณ์ที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาภาคการท่องเที่ยวมากเกินไป การพัฒนาเศรษฐกิจให้มีความหลากหลายมากขึ้นจึงเป็นสิ่งจำเป็น
- หนี้ครัวเรือนในระดับสูง: แม้ว่าการลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยบรรเทาภาระหนี้ในระยะสั้น แต่ระดับหนี้ครัวเรือนของไทยที่อยู่ในระดับสูงยังคงเป็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว
- การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร: สังคมผู้สูงอายุที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยจะส่งผลกระทบต่อกำลังแรงงาน การออม การลงทุน และการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว
บทสรุป
การตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยท่ามกลางความท้าทายทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ อย่างไรก็ตาม นโยบายการเงินเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญอยู่ การผสมผสานระหว่างนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง รวมถึงการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจ จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความยืดหยุ่นและความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจไทยในอนาคต
ในการประชุม กนง. ครั้งถัดไปในวันที่ 25 มิถุนายน 2568 จะเป็นจุดสำคัญที่จะชี้ให้เห็นถึงทิศทางนโยบายการเงินของไทยในช่วงครึ่งหลังของปี และอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมหากแนวโน้มเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในทิศทางที่เอื้อต่อการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย